ตัวอย่างการวางแผนธุรกิจ สำหรับยื่นขอสินเชื่อจากธนาคาร

ตัวอย่างการวางแผนธุรกิจนั้นสำคัญอย่างไร ? เพราะหนึ่งในสิ่งที่จำเป็นสำหรับยื่นขอสินเชื่อธุรกิจจากธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็คือแผนธุรกิจที่รัดกุม ถ้ามีการวางแผนธุรกิจที่ดีก็จะช่วยให้ธนาคารประเมินค่าธุรกิจของคุณเอาไว้สูง มีโอกาสชดใช้หนี้สินเชื่อได้ ซึ่งจะส่งผลให้การยื่นขอสินเชื่อผ่านอนุมัติง่ายขึ้น แล้วการเขียนแผนธุรกิจที่ดีนั้นต้องทำอย่างไร วันนี้เราก็มีโครงสร้างและขั้นตอนในการเขียนแผนธุรกิจทั้งขั้นต้นและขั้นสูงพร้อมตัวอย่างมาให้ศึกษากัน

แผนธุรกิจคืออะไร?

แผนธุรกิจ (Business Plan) ก็คือเอกสารที่ระบุรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจ ที่มา เป้าหมาย วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ วิธีดำเนินงาน การจัดการเงินทุน และรายละเอียดสำคัญอื่น ๆ เพื่อให้ผู้อ่านแผนเข้าใจธุรกิจนั้นได้อย่างรวดเร็ว

แผนธุรกิจมักจะถูกใช้เป็นแผนการดำเนินงานแบบคร่าว ๆ ไปด้วยเพราะภายในแผนธุรกิจจะบอกทั้งหมดว่าใครต้องทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร และต้องทำให้สำเร็จตามเป้าหมายภายในกำหนดเวลาเท่าไหร่ นอกจากจะนำมาใช้พัฒนากลยุทธ์การทำงานแล้วแผนธุรกิจยังใช้เป็นเอกสารในการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของแผนธุรกิจ

เนื่องจากแผนธุรกิจนั้นจะบอกข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจเอาไว้อย่างรอบด้าน ครบทุกปัจจัยสำคัญของธุรกิจ แผนธุรกิจจึงกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่นำมาใช้ประโยชน์ได้หลายทาง โดยเฉพาะ 4 ประโยชน์หลักดังนี้

แผนธุรกิจสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเพื่อมองภาพรวมของธุรกิจ ใช้ข้อมูลเพื่อนำมาพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงาน และยังวัดผลลัพธ์การดำเนินงานได้ง่าย หรือจะนำมาใช้เป็นเอกสารอ้างอิงเพื่อยื่นขอสินเชื่อและให้นายทุนตรวจสอบก็ได้

1. ช่วยให้เห็นภาพรวม เนื่องจากแผนธุรกิจจะบอกข้อมูลทุกอย่างของธุรกิจนั้นเอาไว้ทั้งที่มา โครงสร้าง วิธีดำเนินงาน วิธีบริหารการเงิน จึงมองเห็นภาพรวมได้ง่าย สามารถนำมาใช้เป็น Roadmap ในการทำธุรกิจได้

2. ใช้พัฒนากลยุทธ์ เนื่องจากแผนธุรกิจจะบอกทั้งวัตถุประสงค์ จุดเด่น จุดด้อย และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจเอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นจึงนำข้อมูลจากแผนธุรกิจมาใช้วางกลยุทธ์ได้ทันที

3. วัดผลลัพธ์ได้ง่าย ข้อมูลในแผนธุรกิจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าธุรกิจนั้นกำลังอยู่ส่วนไหนของตลาด กำลังดำเนินงานอยู่ในขั้นตอนไหน ดังนั้นจึงสามารถกำหนดวิธีวัดผลลัพธ์การดำเนินงานได้ง่ายและยังติดตามการดำเนินงานได้ง่ายด้วยเช่นกัน

4. ใช้เป็นเอกสารอ้างอิง เมื่อได้อ่านแผนธุรกิจแล้วก็จะทำให้รู้โครงสร้างภาพรวมของธุรกิจทั้งหมด ดังนั้นจึงสามารถใช้แผนธุรกิจเป็นเอกสารอ้างอิงเพื่อยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ หรือจะใช้ในการอธิบายธุรกิจของคุณให้นายทุนหรือหน่วยงานต่าง ๆ เข้าใจก็ได้

องค์ประกอบของแผนธุรกิจที่ดีต้องมีอะไรบ้าง

เพราะแผนธุรกิจที่ดีคือแผนที่มีความรอบคอบ นำเสนอมุมมองต่าง ๆ ของธุรกิจอย่างรอบด้าน สามารถบ่งบอกถึงความสำเร็จของธุรกิจผ่านแผนที่วางเอาไว้แบบเป็นขั้นตอน ดังนั้นองค์ประกอบของแผนธุรกิจที่ดีจึงต้องมีครบทั้ง 4 ส่วนดังนี้

1. บอกมุมมองทางธุรกิจ

แผนธุรกิจที่ดีจะต้องบอกมุมมองทางธุรกิจเอาไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประวัติเจ้าของธุรกิจ ที่มาของธุรกิจ เป้าหมาย สินค้าหรือบริการที่จำหน่าย เพราะการรู้จักตัวเองให้ดีจะช่วยให้นำข้อมูลมาปรับปรุงการดำเนินงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. บอกกลยุทธ์ที่ใช้ทำธุรกิจ

เมื่อมองเห็นเป้าหมายแล้วว่าธุรกิจของคุณควรดำเนินงานไปในทิศทางไหนก็ต้องนำข้อมูลเหล่านั้นมาคิดค้นกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้โดยใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด

3. มองถึงผลลัพธ์

ภายในแผนธุรกิจจะต้องติดตามการดำเนินงานอยู่เสมอว่าในปัจจุบันเข้าใกล้ความสำเร็จไปแล้วมากแค่ไหน รวมถึงต้องมีการระบุทั้งโอกาสและอุปสรรคในการดำเนินงานกับวิธีแก้ไขเอาไว้อย่างละเอียดเพื่อให้นำมาใช้ปรับปรุงกลยุทธ์ได้ในกรณีที่แผนหลักมีปัญหา

4. มีรายละเอียดเงินทุน

การบริหารการเงินก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงต้องมองหากลยุทธ์การเงินที่ดีมาใช้และติดตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำบัญชีให้รัดกุม และควรมีข้อมูลของแหล่งเงินทุนสำรองเผื่อเอาไว้ในเวลาที่เริ่มประสบปัญหาการเงินหรือต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ

แม้ความจริงแล้วการเขียนแผนธุรกิจจะไม่ได้มีหลักการเขียนที่ตายตัว แต่การมีองค์ประกอบที่สำคัญครบก็จะช่วยให้แผนธุรกิจของคุณสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ได้จริงทั้งสำหรับตัวผู้ประกอบการเองและใช้เป็นเอกสารประกอบในการยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารหรือนายทุนได้ ซึ่งการเขียนแผนธุรกิจที่มักจะพบเห็นได้บ่อยในปัจจุบันก็ยังแยกออกมาได้เป็นแผนธุรกิจขั้นต้นที่บอกรายละเอียดทุกอย่างแบบง่าย ๆ กับแผนธุรกิจขั้นสูงที่มีข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้น

ขั้นตอนการเขียนแผนธุรกิจขั้นต้น

การเขียนแผนธุรกิจขั้นต้นจะเป็นแผนแบบง่าย ๆ ไม่มีความซับซ้อนมากนัก แต่ก็ยังได้ข้อมูลที่ครอบคลุมรอบด้านของธุรกิจ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีสินค้าและบริการไม่มาก สำหรับนักธุรกิจมือใหม่ก็อาจจะเริ่มจากการเขียนแผนธุรกิจขั้นต้นกันก่อนก็ได้ โดยจะมีขั้นตอนสำคัญแค่ 7 ขั้นตอนดังนี้

1. แนวคิดในการทำธุรกิจ

แนวคิดในการทำธุรกิจจะเป็นส่วนของโครงสร้างภาพรวมธุรกิจที่ต้องเขียนให้กระชับ โดยทั่วไปแล้วแผนธุรกิจขั้นต้นจะเขียนข้อมูลในส่วนนี้แค่ไม่เกิน 1-2 หน้า แต่จะต้องมีข้อมูลธุรกิจที่ครบถ้วน อ่านแล้วเห็นภาพได้ง่าย สำหรับหัวข้อสำคัญภายในส่วนนี้ก็จะมี

ในส่วนของแนวคิดในการทำธุรกิจจะต้องระบุทั้งภาพรวมของธุรกิจ เป้าหมาย โอกาสที่มองเห็น กลยุทธ์ในการดำเนินงาน แผนการลงทุน และจะต้องคาดการณ์ผลตอบแทนที่น่าจะได้รับในอนาคตด้วย

ภาพรวมธุรกิจ : จะเป็นข้อมูลโดยรวมที่ต้องเขียนถึงที่มาของธุรกิจ ประวัติโดยย่อของผู้ก่อตั้งธุรกิจและหุ้นส่วน ไปจนถึงเป้าหมายที่ต้องการ เป็นต้น

เป้าหมายธุรกิจ : จะเป็นการเขียนว่าธุรกิจของคุณต้องการความสำเร็จแบบไหน ซึ่งควรจะมีทั้งเป้าหมายระยะสั้นและเป้าหมายระยะยาว ในส่วนนี้จะตั้งเป้าหมายเป็นผลประกอบการหรือเป้าหมายเพื่อการขยายกิจการ การพัฒนาสินค้าใหม่ หรือเป้าหมายแบบอื่นก็ได้

โอกาสของธุรกิจ : จะเป็นการคาดการณ์โอกาสในการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ตลาดและคู่แข่งควบคู่กันไปด้วย

กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ : จะเป็นการเขียนถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจโดยยึดเป้าหมายที่วางเอาไว้เป็นหลัก กลยุทธ์ที่ดีจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

แผนการลงทุน : จะเป็นการคาดการณ์หรือประเมินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานและวิธีบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลตอบแทน : จะเป็นการคาดการณ์ผลกำไรที่ควรจะได้รับ สามารถกำหนดเป็นรายเดือน รายไตรมาส รายครึ่งปี หรือรายปีก็ได้ และถ้ามีผลตอบแทนมาจากหลายช่องทางก็จะต้องเขียนแยกทุกช่องทางแล้วทำสรุปผลตอบแทนรวมทั้งหมดออกมาอีกครั้ง

2. ที่มาของธุรกิจ

ที่มาของธุรกิจจะเป็นการบอกเล่าความเป็นมาของธุรกิจคุณว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เจ้าของธุรกิจคือใคร มีหุ้นส่วนหรือผู้ร่วมลงทุนเป็นใคร ประวัติโดยย่อของแต่ละคนเป็นอย่างไร เป็นธุรกิจประเภทไหน ในอนาคตคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงเอาไว้อย่างไร สินค้าและบริการมีอะไรบ้าง เป็นต้น

3. การวิเคราะห์ธุรกิจ

การวิเคราะห์ธุรกิจจะเป็นส่วนของการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสามารถนำข้อมูลในส่วนนี้มาใช้พัฒนาเป็นกลยุทธ์ในการทำธุรกิจต่อได้ และยังช่วยให้รู้จักพื้นฐานของธุรกิจคุณได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ SWOT Analysis มาวิเคราะห์ 4 ปัจจัยหลักของธุรกิจ ได้แก่

SWOT Analysis จะเป็นการวิเคราะห์ทั้งธุรกิจของคุณ ธุรกิจคู่แข่ง และวิเคราะห์ตลาด โดยจะต้องมองให้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคในการทำธุรกิจภายในตลาดนั้นออกมาอย่างรอบคอบ

– S ย่อมาจาก Strengths หรือจุดแข็ง หมายถึงจุดเด่นที่ธุรกิจของคุณมี ซึ่งสามารถนำข้อมูลในส่วนนี้มาใช้พัฒนาเป็นกลยุทธ์หลักหรือแนวทางในการดำเนินงานได้

– W ย่อมาจาก Weakness หรือจุดอ่อน หมายถึงจุดที่ธุรกิจของคุณยังทำได้ไม่ดีหรือยังสู้คู่แข่งรายอื่นในตลาดไม่ได้ จุดอ่อนอาจนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้นหรือจะใช้เพื่อวางแนวทางเลี่ยงการต่อสู้กับคู่แข่งในจุดนี้แทนก็ได้

– O ย่อมาจาก Opportunity หรือโอกาส หมายถึงปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่มีผลทำให้ธุรกิจของคุณดีขึ้น ตัวอย่างเช่น นโยบายของรัฐบาล ช่องทางการขายสินค้า สถานที่ตั้งร้าน เป็นต้น

– T ย่อมาจาก Threat หรืออุปสรรค หมายถึงปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่อาจสร้างปัญหาหรือทำให้ธุรกิจของคุณติดขัดได้ ตัวอย่างเช่น คู่แข่ง ความเปลี่ยนแปลงของตลาด เป็นต้น

4. แผนการตลาด

แผนการตลาดจะเป็นส่วนที่ระบุกลยุทธ์หรือแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งจะรวมทั้งวิธีตั้งราคา วิธีขายสินค้า วิธีการโฆษณา โปรโมชั่นพิเศษ และบริการเสริมอื่น ๆ เป็นต้น ข้อมูลในส่วนนี้จะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าและบริการ รวมไปถึงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก

5. แผนการดำเนินงาน

แผนการดำเนินงานเป็นส่วนที่ระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายการผลิต แหล่งวัตถุดิบ ชนิดของวัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต การควบคุมคุณภาพ การจัดส่งสินค้า และอาจรวมไปถึงการบริหารจัดการทีมงานกับการบริการลูกค้าได้ด้วย

6. แผนการเงิน

แผนการเงินจะเป็นข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินทุน ข้อมูลในส่วนนี้ควรมีความละเอียดสูงเพราะเงินคือปัจจัยสำคัญที่ชี้วัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจได้ แผนการเงินจะต้องบอกทั้งสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบัน คาดการณ์สถานการณ์ทางการเงินในอนาคต จำนวนเงินลงทุน ระยะเวลาคืนทุน รายรับ-รายจ่าย และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

7. แผนฉุกเฉิน

แผนฉุกเฉินหรือแผนสำรองจะเป็นการคิดถึงโอกาสในการเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้นกับธุรกิจของคุณแล้ววางแผนรับมือล่วงหน้า ซึ่งอาจจะต้องคิดเอาไว้อย่างน้อย 1-2 แผนเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อถึงเวลา

ตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจขั้นต้น

สำหรับนักธุรกิจมือใหม่แล้วการเขียนแผนธุรกิจขั้นต้นนับว่าทำได้ค่อนข้างง่าย ไม่ต้องลงรายละเอียดในแต่ละส่วนเยอะก็ได้ หรือถ้านักธุรกิจคนไหนยังเขียนไม่ถูกก็อาจจะดาวน์โหลด แบบฟอร์มแผนธุรกิจขั้นต้น เพื่อใช้เป็นแนวทางการเขียน หรือจะดูจากตัวอย่างทางด้านล่างแล้วนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองก็ได้

ตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจขั้นต้นที่จะแนะนำนั้นเป็นร้านข้าวกล่องเดินกิน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ชีวิตเร่งด่วนด้วยอาหารกล่องเพื่อสุขภาพอย่างง่าย ๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนวัยทำงานที่ไม่สะดวกทำอาหารด้วยตัวเอง

1. แนวคิดในการทำธุรกิจ

ร้านข้าวกล่องเดินกิน เป็นแบรนด์สำหรับชีวิตเร่งด่วน เหมาะสำหรับนักเรียน วัยทำงาน หรือผู้ที่ไม่สะดวกทำอาหารด้วยตัวเองและต้องการทานอาหารง่าย ๆ ระหว่างเดินทาง สินค้าจะเน้นความสะดวกในการพกพา ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ไม่มียาฆ่าแมลง

ภาพรวมธุรกิจ : ร้านข้าวกล่องเดินกินถูกคิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ชั่วโมงเร่งด่วนที่ต้องการซื้ออาหารไปนั่งรับประทานที่ไหนก็ได้ มีช้อนและส้อมเตรียมไว้ให้พร้อม และอาหารทุกกล่องก็มีการคำนวณทางโภชนาการมาแล้วว่ามีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่เพื่อสุขภาพที่ดี

เป้าหมายธุรกิจ :

– เป้าหมายระยะสั้นคือการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในเขตสีลม

– เป้าหมายระยะสั้นคือการทำยอดขายเดือนละ 5 แสนบาทภายในระยะเวลา 1 ปี

โอกาสของธุรกิจ : แม้จะมีคู่แข่งค่อนข้างเยอะ แต่ร้านขายอาหารกล่องส่วนมากในพื้นที่สีลมจะไม่เน้นคุณค่าทางโภชนาการและการตกแต่งให้สวยงามซึ่งเป็นจุดขายของร้านข้าวกล่องเดินกิน

กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ :

– มีข้าวกล่องให้เลือกหลายแบบ

– ตกแต่งให้มีสีสันสวยงาม

– ใช้วัตถุดิบออร์แกนิก ไม่มียาฆ่าแมลง

– บรรจุภัณฑ์พกพาสะดวก ทำจากวัสดุธรรมชาติ

– มีช้อนและส้อมแถมให้ ทำจากวัสดุธรรมชาติ

– สร้างแบรนด์ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

– ผลิตสินค้าให้พร้อมในช่วงมื้ออาหารเช้า กลางวัน และเย็น

แผนการลงทุน : มีการคำนวณวัตถุดิบที่ต้องใช้และค่าใช้จ่ายทั้งหมดล่วงหน้า 1 วัน สั่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าโดยให้นำมาส่งที่ร้าน และสรุปรายรับ-รายจ่ายเมื่อปิดร้านทุกวัน

ผลตอบแทน : ในช่วง 3 เดือนแรกที่เปิดร้านคาดการณ์ว่าจะมีผลกำไรวันละไม่เกิน 2,000 บาท แต่หลังจาก 3 เดือนไปแล้วคาดว่าแบรนด์จะเริ่มเป็นที่รู้จักและเพิ่มผลกำไรได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 25% ไปจนครบปี

2. ที่มาของธุรกิจ

ชื่อธุรกิจ : ร้านข้าวกล่องเดินกิน

ประเภทธุรกิจ : จำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ

เจ้าของธุรกิจ : นาย………..

สินค้า :

– อาหารกล่อง

– เครื่องดื่ม

– เครื่องเคียง เช่น ผัก ไข่ดาว เป็นต้น

กลุ่มเป้าหมาย :

– กลุ่มคนรักสุขภาพ

– กลุ่มคนวัยทำงาน

– กลุ่มนักเรียน นักศึกษา

3. การวิเคราะห์ธุรกิจ

จุดแข็ง : เป็นข้าวกล่องออร์แกนิกราคาไม่แพงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ดึงดูดลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย

จุดอ่อน : ต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่าง บางอย่างอาจหาซื้อได้ตามฤดูกาลหรือเฉพาะบางเวลา

โอกาส : มีหน้าร้านอยู่ในพื้นที่ผู้คนสัญจรตลอดเวลา มีทั้งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนวัยทำงานและนักเรียน นักศึกษา

อุปสรรค : มีคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นจำนวนมาก หลายร้านมีราคาสินค้าถูกกว่า

4. แผนการตลาด

วิธีตั้งราคา :

– คำนวณจากค่าวัตถุดิบต่อกล่องแล้วตั้งราคาขายให้มีกำไรกล่องละ 35-50%

– ต้องมีราคาแพงกว่าข้าวกล่องทั่วไปในพื้นที่ไม่เกิน 10 บาท

วิธีขายสินค้า :

– เน้นการลงสินค้าจำนวนมากตามช่วงมื้ออาหารเช้า กลางวัน เย็น

– สามารถหยิบสินค้าที่ต้องการแล้วชำระเงินได้โดยไม่ต้องรอการผลิต

วิธีการโฆษณา :

– มีการเขียนป้ายบอกเมนูและราคาเอาไว้ที่หน้าร้าน

– บอกเมนูล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ 1 วัน

– มีรีวิวผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดียต่าง ๆ

โปรโมชั่น :

– สั่งซื้อครบ 5 กล่องมีเครื่องเคียงแจกฟรี 1 ชุด

– สั่งซื้อครบ 10 กล่องมีบริการส่งฟรี

– สั่งซื้อล่วงหน้า 1 วันผ่านช่องทางออนไลน์ ได้รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อครบ 300 บาท

บริการเสริม :

– มีเครื่องเคียงต่าง ๆ เช่น ไข่ดาว ผัก จำหน่ายแยกต่างหาก

– มีบริการสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์

– มีบริการจัดส่งในพื้นที่สีลม

5. แผนการดำเนินงาน

แหล่งวัตถุดิบ : สั่งซื้อวัตถุดิบหลักจากฟาร์มโดยตรง

กรรมวิธีการผลิต :

– ปรุงอาหารสดใหม่ทุกช่วงมื้ออาหาร

– คำนวณคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม

– ตกแต่งให้มีสีสันสวยงาม น่ารับประทาน

การควบคุมคุณภาพ :

– ใช้วัตถุดิบออร์แกนิกจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน

– ทำความสะอาดพื้นที่ทำอาหารทั้งก่อนและหลังการทำอาหารทุกครั้ง

– จัดเก็บวัตถุดิบอย่างมิดชิดด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม

การบริหารจัดการทีมงาน :

– แบ่งทีมงานทำอาหาร บริการลูกค้า และจัดส่งสินค้าอย่างชัดเจน

– แบ่งทีมงานทั้งหมดออกเป็น 3 กะเพื่อให้พร้อมขายสินค้าตามช่วงเวลามื้ออาหาร

6. แผนการเงิน

จำนวนเงินลงทุนรวม : …………บาท

ระยะเวลาคืนทุน : …………ปี

รายรับต่อสัปดาห์ : …………บาท

รายจ่ายต่อสัปดาห์ : …………บาท

7. แผนฉุกเฉิน

แผนฉุกเฉินของร้านข้าวกล่องเดินกินจะคิดถึงกรณีที่กลุ่มเป้าหมายสนใจสินค้าจากร้านอื่นที่มีราคาถูกกว่า โดยจะดำเนินการแก้ไขด้วยการปรับลดวัตถุดิบบางอย่างลง หรืออาจเปลี่ยนแปลงวัสดุของบรรจุภัณฑ์ ช้อน-ส้อม เพื่อให้ได้ต้นทุนต่อกล่องที่ถูกกว่าเดิม แต่จะยังคงมีการตกแต่งให้มีสีสันสวยงามเพื่อดึงดูดลูกค้าและมีโปรโมชั่นพิเศษตามเดิม

ขั้นตอนการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูง

สำหรับการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูงก็จะมีความละเอียดที่มากกว่าแผนธุรกิจขั้นต้น เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนหรือธุรกิจที่มีสินค้าจำนวนมาก องค์ประกอบของแผนธุรกิจขั้นสูงจะแบ่งออกมาเป็น 10 ข้อ ได้แก่

ขั้นตอนการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูงครึ่งแรกจะต้องมีบทสรุปผู้บริหารซึ่งเป็นการบอกภาพรวมธุรกิจ มีคำอธิบายธุรกิจซึ่งลงรายละเอียดเบื้องต้นเอาไว้ มีการวิจัยตลาดซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์โดยตรง มีรายละเอียดองค์กรและการจัดการซึ่งเป็นส่วนของแผนกและตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งหมด มีคำอธิบายสินค้าและบริการซึ่งอาจระบุออกมาเป็นหมวดหมู่สินค้าก็ได้

1. บทสรุปผู้บริหาร

บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) เป็นส่วนของภาพรวมว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจประเภทไหน ตั้งเป้าหมายในการทำธุรกิจเอาไว้อย่างไร สินค้าและบริการคืออะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร มีข้อมูลทางการเงินและการคาดการณ์รายได้เอาไว้แบบไหน ซึ่งจะต้องวิเคราะห์ตลาดออกมาแล้วเขียนรายละเอียดเบื้องต้นทั้งหมดออกมา

บทสรุปผู้บริหารจึงเป็นเหมือนภาพสรุปของกิจการ โดยทั่วไปแล้วสำหรับแผนธุรกิจขั้นสูงมักจะเขียนในส่วนนี้ไม่เกิน 3 หน้า แต่ต้องเขียนออกมาให้เห็นภาพได้ชัดเจน ซึ่งอาจจะเขียนเป็นส่วนสุดท้ายเพื่อรอนำข้อมูลจากส่วนอื่น ๆ มาใช้ประกอบการเขียนก็ได้

2. คำอธิบายธุรกิจ

คำอธิบายธุรกิจ (Company Description) เป็นส่วนที่อธิบายอย่างละเอียดว่าธุรกิจของคุณทำอะไร มีเป้าหมายคืออะไร มีสินค้าและบริการแบบไหน มีจุดเด่นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีไหน สินค้าตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร มีบริษัทคู่ค้าหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือใคร เป็นต้น

3. การวิจัยตลาด

การวิจัยตลาด (Market Analysis) เป็นข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ตลาด วิเคราะห์ธุรกิจของตัวเอง และวิเคราะห์คู่แข่งมาแล้วว่ามีจุดเด่น-จุดด้อยอย่างไร ธุรกิจของคุณคือธุรกิจประเภทไหน อยู่ส่วนไหนของตลาด ธุรกิจในตลาดมีอัตราเติบโตอย่างไร โอกาสและอุปสรรคที่คาดว่าจะต้องเจอคืออะไร รวมไปถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้มาจากการวิเคราะห์เพื่อนำไปใช้พัฒนากลยุทธ์ในการเอาชนะคู่แข่งอีกครั้ง

4. รายละเอียดองค์กรและการจัดการ

รายละเอียดองค์กรและการจัดการ (Organization and Management) เป็นส่วนที่จะบอกถึงโครงสร้างองค์กรว่ามีแผนกอะไรอยู่บ้าง มีพนักงานตำแหน่งไหนบ้าง จำนวนกี่คน ซึ่งอาจจะเขียนเป็นแผนผังองค์กร (Organization Chart) ขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการมองลำดับขั้นพนักงานก็ได้ ถ้ามีการร่วมมือกับธุรกิจอื่นก็ต้องระบุข้อมูลในส่วนนั้นลงไปด้วย และอาจจะเพิ่มตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในลงไปด้วยก็ได้

5. คำอธิบายสินค้าและบริการ

คำอธิบายสินค้าและบริการ (Service or Product Line) จะเป็นส่วนที่ใช้อธิบายถึงสินค้าและบริการของธุรกิจว่าคืออะไร มีกรรมวิธีการผลิตอย่างไร มีวิธีใช้งานสินค้าอย่างไร ต้นทุนเท่าไหร่ ราคาขายเท่าไหร่ ได้กำไรเท่าไหร่ และสินค้าหรือบริการของคุณจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจที่มีสินค้าและบริการเพียงไม่กี่รายการก็อาจจะระบุรายละเอียดทีละรายการได้ แต่ถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสินค้าจำนวนมากก็อาจจะรวมข้อมูลมาอธิบายเป็นหมวดหมู่สินค้าแทนได้ นอกจากนี้ก็อาจทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมได้ด้วยว่ามีสินค้ารายการไหนน่าสนใจ รายการไหนเป็นสินค้ากำไรสูง สินค้ายอดนิยม เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และยังนำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานได้อีกด้วย

ขั้นตอนการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูงในส่วนหลังนี้จะต้องมีแผนการตลาดและการขายซึ่งระบุกลยุทธ์และแนวทางที่ใช้ทำการตลาด มีรายละเอียดเงินลงทุนทั้งหมด มีแผนการเงินซึ่งอธิบายรายรับ-รายจ่าย และคาดการณ์สถานการณ์ทางการเงินล่วงหน้า มีภาคผนวกซึ่งเป็นเอกสารเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือบอกรายละเอียดเชิงลึก และจะต้องมีแผนฉุกเฉินเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินงานตามแผนหลักได้

6. แผนการตลาดและการขาย

แผนการตลาดและการขาย (Marketing and Sales) จะเป็นส่วนที่ใช้อธิบายถึงกลยุทธ์ในการทำตลาด ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ตั้งราคา กลยุทธ์ในการขาย กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย และจะต้องมีตัวชี้วัดผลลัพธ์กับการคาดการณ์ด้วยว่ากลยุทธ์นั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากแค่ไหน โดยกำหนดระยะเวลาเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจระบุกันเป็นรายวัน รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีตามความเหมาะสม

7. รายละเอียดเงินลงทุน

รายละเอียดเงินลงทุน (Funding Request) จะเป็นส่วนที่ใช้อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของเงินลงทุนว่ามีแหล่งที่มาจากไหน เป็นเงินทุนส่วนตัว เงินที่ได้จากหุ้นส่วน จากการระดมทุน หรือการยื่นขอสินเชื่อ ซึ่งจะต้องระบุจำนวนเงินแยกแต่ละส่วนเอาไว้อย่างชัดเจนและรวมจำนวนเงินทั้งหมดมาแสดงอีกครั้ง

รายละเอียดเงินลงทุนจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ และจะต้องระบุจำนวนที่ต้องใช้ออกมาอย่างมีเหตุผลว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่เพื่อเป้าหมายแบบไหน ซึ่งการกำหนดเป้าหมายก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นยอดขายเท่านั้น อาจใช้เพื่อการขยายธุรกิจ พัฒนาสินค้าใหม่ เพิ่มจำนวนพนักงาน หรือเป้าหมายอื่น ๆ ก็ได้

8. แผนการเงิน

แผนการเงิน (Financial Projections) จะแบ่งออกมาเป็น 2 ส่วนหลักคือสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันและการวิเคราะห์ด้านการเงินในอนาคต ข้อมูลในส่วนนี้ค่อนข้างซับซ้อน อาจต้องอาศัยความเชี่ยวชาญหรือต้องมีเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วย สำหรับนักธุรกิจมือใหม่อาจต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เขียนได้ถูกวิธี ตัวอย่างเช่น วิธีเขียนงบประมาณ วิธีการทำงบดุล และเอกสารทางการเงินอื่น ๆ

– สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบัน : จะเป็นการระบุจำนวนเงินลงทุน รายรับ-รายจ่าย และข้อมูลอื่นที่บ่งบอกถึงสถานการณ์การเงินในปัจจุบัน

– การวิเคราะห์ด้านการเงิน : จะเป็นการวิเคราะห์และคาดการณ์ว่าธุรกิจจะมีกำไรหรือขาดทุนอย่างไร ซึ่งอาจจะมีข้อมูลงบดุล งบกระแสเงินสด หรือข้อมูลอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์เพิ่มเติม

9. ภาคผนวก

ภาคผนวก (Appendix) เป็นการรวมรายละเอียดหรือข้อมูลเชิงลึกจากส่วนต่าง ๆ เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งอาจจะเป็นเอกสารที่มีความยาวมาก ๆ แผนภาพ หรือกราฟแสดงยอดขาย ข้อมูลในส่วนนี้เป็นข้อมูลเพื่ออธิบาย อ้างอิง หรือขยายความจากส่วนอื่น ตัวอย่างเช่น ใบอนุญาตประกอบกิจการ ใบจดทะเบียนการค้า งบการเงิน สัญญาสินเชื่อ หรือเอกสารทางกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแผนธุรกิจของคุณได้

10. แผนฉุกเฉิน

แผนฉุกเฉินหรือแผนสำรอง (Emergency Plan) เป็นแผนที่จะถูกนำมาใช้เมื่อไม่สามารถดำเนินการตามแผนหลักได้ หรือผลลัพธ์จากแผนหลักออกมาไม่ดี โดยทั่วไปแล้วควรมีสำรองเอาไว้อย่างน้อย 2-3 แผนและจะต้องกำหนดวิธีแก้ปัญหาเอาไว้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูง

ในการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูงนั้นจะมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ นักธุรกิจหลายคนจึงอาจจะเขียนไม่ค่อยถูก เราจึงได้จัดทำ แบบฟอร์มแผนธุรกิจขั้นสูง เอาไว้ให้ดาวน์โหลดฟรี และยังมีตัวอย่างมาให้ลองศึกษาก่อนจะนำไปปรับใช้งานกับธุรกิจของคุณได้ดังนี้

ตัวอย่างการเขียนแผนธุรกิจขั้นสูงที่จะแนะนำนั้นเป็นร้านน้ำชา Tea Time ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มคนรักสุขภาพและชอบความแปลกใหม่ด้วยชาผลไม้และเครื่องดื่มอื่น ๆ หลายรสชาติ มีขนมหวานเป็นเครื่องเคียง โดยใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนรักสุขภาพ

1. บทสรุปผู้บริหาร

ร้านน้ำชา Tea Time เป็นแบรนด์สำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพที่ชื่นชอบชาผลไม้หรือน้ำชาที่มีรสชาติแปลกใหม่ ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ กระบวนการผลิตได้มาตรฐาน บรรจุภัณฑ์แน่นหนา พกพาสะดวก

กลยุทธ์ที่ใช้ :

– มีน้ำชาให้เลือกได้หลายรส หลายกลิ่น

– มีท็อปปิ้งเพิ่มในชาได้

– มีขนมหวานจำหน่าย

– บรรจุภัณฑ์พกพาสะดวก

– สร้างแบรนด์ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

เป้าหมายหลัก :

– สร้างฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล

– สร้างยอดขายเพิ่มปีละ 25%

2. คำอธิบายธุรกิจ

ชื่อธุรกิจ : ร้านน้ำชา Tea Time

ประเภทธุรกิจ : จำหน่ายเครื่องดื่ม

สินค้า :

– น้ำชาต่าง ๆ

– ขนมหวานต่าง ๆ

กลุ่มเป้าหมาย :

– กลุ่มคนรักสุขภาพ

– กลุ่มคนวัยทำงาน

– กลุ่มนักเรียน นักศึกษา

จุดเด่น :

– ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ

– มีน้ำชาที่รสและกลิ่นแปลกใหม่

– ราคาไม่แพง

– มีขนมหวานหลายชนิด

– บรรจุภัณฑ์แน่นหนา พกพาสะดวก

3. การวิจัยตลาด

ตลาดเครื่องดื่ม :

– เป็นตลาดใหญ่ที่ยังเติบโตขึ้นได้อีก

– มีผู้บริโภคจำนวนมากทุกวัน

– เครื่องดื่มของร้านมีความแปลกใหม่

โอกาส :

– ในพื้นที่ยังไม่มีร้านจำหน่ายชาผลไม้

– ที่ตั้งร้านเป็นแหล่งชุมชมที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา

– กระแสรักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม

– สามารถส่งสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นอาหารได้

– จำหน่ายผ่านโซเชียลมีเดีย

อุปสรรค :

– ต้องใช้เวลาในการนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง

– ต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่าง

– สินค้าจำพวกขนมหวานมีอายุสั้น

4. รายละเอียดองค์กรและการจัดการ

แผนผังที่ตั้งกิจการ :

แผนภูมิโครงสร้างองค์กร :

รายละเอียดการจ้างงาน :

– กิจการมีพนักงานทั้งหมด ….. คน

ทีมพัฒนาสินค้า ….. คน ค่าจ้างรวม ….. บาทต่อเดือน

ทีมผลิต ….. คน ค่าจ้างรวม ….. บาทต่อเดือน

ทีมการตลาด ….. คน ค่าจ้างรวม ….. บาทต่อเดือน

ทีมขาย ….. คน ค่าจ้างรวม ….. บาทต่อเดือน

– ค่าจ้างรวมทั้งหมด ….. บาทต่อเดือน

5. คำอธิบายสินค้าและบริการ

ประเภทสินค้า : เครื่องดื่ม

รายการสินค้า :

– ชาผลไม้

– ชานม

– กาแฟ

– เครื่องดื่มโซดา

– ขนมหวาน

กระบวนการผลิต :

– วัตถุดิบนำบางส่วนเข้าจากต่างประเทศ

– ชงใหม่ทุกแก้ว

– ทำขนมหวานสดใหม่ทุกวัน

– สถานที่ผลิตสะอาด ปลอดภัย

6. แผนการตลาดและการขาย

กลยุทธ์ :

– ที่ตั้งร้านอยู่ในแหล่งที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาเยอะ

– มีเมนูให้เลือกหลากหลายทั้งเครื่องดื่มและขนมหวาน

– มีบริการจัดส่งภายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล

– ส่งสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นอาหาร

– บรรจุภัณฑ์พกพาสะดวก

– สร้างแบรนด์ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

ช่องทางจำหน่าย :

– หน้าร้านออฟไลน์

– ช่องทางออนไลน์

กิจกรรมส่งเสริมการขาย :

– โปรโมชั่นลดราคาแบบรายวัน

– สะสมแต้มแลกเครื่องดื่มฟรี

7. รายละเอียดเงินลงทุน

แหล่งที่มาของเงินทุน : ได้มาจาก …..

– เงินทุนส่วนตัวจำนวน ….. บาท

– สินเชื่อจาก ….. จำนวน ….. บาท

– จำนวนเงินทุนรวมทั้งหมด ….. บาท

8. แผนการเงิน

การลงทุน :

– เครื่องจักรในการผลิต

– บรรจุภัณฑ์

– ค่าวัตถุดิบ

– ค่าจ้างพนักงาน

– ค่าใช้จ่ายการทำการตลาด

ที่มาของรายได้ :

– ยอดขายเครื่องดื่ม

– ยอดขายสินค้าอื่น

จุดคุ้มทุน : 2 ปี

ผลตอบแทน : 20% ต่อปี

9. ภาคผนวก

– ใบจดทะเบียนการค้า

– ใบรับรองคุณภาพสินค้า

– รายละเอียดการวิจัยตลาด

– ข้อมูลบริษัทคู่ค้า

– สัญญาสินเชื่อ

10. แผนฉุกเฉิน

ร้านน้ำชา Tea Time มีความเสี่ยงคือคู่แข่งเยอะทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ สินค้าบางอย่างมีอายุสั้น กระแสเปลี่ยนไว วัตถุดิบบางอย่างต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แผนฉุกเฉินจะต้องมีทั้งการปรับสัดส่วนของวัตถุดิบใหม่ มีการคิดค้นเมนูใหม่ เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า และการจัดโปรโมชั่นแบบใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่มเติม โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพ กลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มนักเรียน นักศึกษาเป็นหลัก

รายละเอียดแผนสำรองที่ 1 :

รายละเอียดแผนสำรองที่ 2 :

รายละเอียดแผนสำรองที่ 3 :

ขั้นตอนการยื่นขอสินเชื่อต้องทำอย่างไร

สำหรับการยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารหรือหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ นั้นก็จะต้องเลือกประเภทสินเชื่อให้เหมาะสำหรับธุรกิจของคุณก่อน เพราะเงื่อนไขสินเชื่อของแต่ละธนาคารจะไม่เหมือนกัน บางธนาคารอาจจะมีสินเชื่อสำหรับธุรกิจระหว่างประเทศ บางธนาคารอาจจะมีสินเชื่อสำหรับการขยายกิจการ หรือบางธนาคารก็มีสินเชื่อสำหรับธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะ

เมื่อเลือกประเภทสินเชื่อได้ตรงกับความต้องการหรือประเภทของธุรกิจคุณได้แล้วก็จะต้องศึกษาเงื่อนไขของสินเชื่อนั้นก่อนล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณตรงตามเงื่อนไขเหล่านั้นหรือไม่ ต้องมีการเตรียมอะไรเพิ่มเติมหรือต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง การยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารจะมีข้อดีตรงที่ได้ความปลอดภัย มีเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยตรงตามที่กฎหมายกำหนด ขั้นตอนในการขอสินเชื่อก็มีแค่ 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

ขั้นตอนการยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ จะเริ่มจากการยื่นคำขอสินเชื่อที่สาขาธนาคารหรือสถาบันการเงินที่คุณเลือกเอาไว้ จากนั้นก็รอผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยทางสถาบันจะตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นก่อน จากนั้นจึงส่งต่อข้อมูลให้เจ้าหน้าที่หลักทรัพย์พิจารณาอย่างละเอียด เมื่อผ่านการอนุมัติก็จะมีการนัดหมายเข้าทำสัญญาต่าง ๆ อีกครั้ง

1. ยื่นคำขอสินเชื่อ

ขั้นตอนแรกจะเริ่มจากการเข้าไปยื่นคำขอสินเชื่อและเอกสารประกอบที่สาขาธนาคารหรือสถาบันการเงินที่คุณสนใจ เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่าธุรกิจของคุณมีความมั่นคงมากแค่ไหน โดยดูจากอาชีพ รายได้ ค่าใช้จ่ายครอบครัว หนี้สินเดิม และข้อมูลอื่น ๆ มาประกอบกับวงเงินที่คุณต้องการ ระยะเวลาในการชำระหนี้เพื่อประเมินความสามารถในการชดใช้หนี้สินเชื่อในอนาคตอีกครั้ง

2. รอการพิจารณาอนุมัติ

เมื่อเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วว่าธุรกิจของคุณผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น ใบคำร้องขอสินเชื่อและเอกสารประกอบทั้งหมดก็จะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยตรงอีกครั้ง การตรวจสอบในครั้งนี้จะพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น

คุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ ได้แก่ ประเภทของธุรกิจ ขนาดของธุรกิจ เป็นต้น

วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ ได้แก่ ความต้องการว่าจะนำไปใช้เพื่อขยายกิจการ ใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป เป็นต้น

ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อ ซึ่งอาจจะพิจารณาจาก ผลกำไร-ขาดทุน งบบัญชีกระแสเงินสด เป็นต้น

มูลค่าของหลักประกัน

– ปัจจัยอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

โดยทั่วไปแล้วจะมีเจ้าหน้าที่หลักทรัพย์ติดต่อนัดหมายเพื่อประเมินมูลค่าหลักประกันภายใน 7 วันทำการหลังยื่นใบคำร้องขอสินเชื่อ

3. แจ้งผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ

หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ถ้าเจ้าหน้าที่หลักทรัพย์พิจารณาข้อมูลและเอกสารประกอบทั้งหมดแล้วว่าธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติมากเพียงพอ ทางธนาคารก็จะติดต่อกลับเพื่อแจ้งผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อภายใน 3-10 วันหลังการยื่นใบคำร้องขอสินเชื่อ จากนั้นก็จะนัดหมายวันและเวลาในการทำสัญญาและจำนอง

4. การทำสัญญา

หลังจากที่คำร้องของคุณผ่านการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อแล้วทางธนาคารจะติดต่อนัดหมายสถานที่และวันทำสัญญากู้เงินรวมถึงสัญญาอื่น ๆ ที่จำเป็น ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม หุ้นส่วน ผู้ค้ำประกัน หรือบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนก็จะต้องร่วมลงนามในสัญญาทุกฉบับ สำหรับค่าธรรมเนียมที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ค่าธรรมเนียมในการโอน หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ทางธนาคารจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในวันที่นัดหมาย

จะเห็นได้ว่าหนึ่งในเอกสารสำคัญที่ใช้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อสำหรับการทำธุรกิจก็คือแผนธุรกิจ ดังนั้นการเขียนแผนที่รัดกุมและรอบคอบจึงช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณผ่านการอนุมัติง่ายขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่ของธนาคารจะมองเห็นความสามารถในการชำระหนี้สินที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ปัจจัยที่ธนาคารใช้ประเมินการขอสินเชื่อ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารต่าง ๆ หรือปัจจัยที่ธนาคารจะนำมาใช้ในการพิจารณาในการอนุมัติสินเชื่อไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลหรือสินเชื่อธุรกิจก็จะใช้หลักเบื้องต้นที่คล้ายกัน ได้แก่

นโยบายของธนาคาร

แน่นอนอยู่แล้วว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็จะมีเงื่อนไขในการอนุมัติสินเชื่อที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณจะต้องตรวจสอบเงื่อนไขเบื้องต้นเหล่านี้มาก่อนล่วงหน้าแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ตัวอย่างเช่น ธนาคารบางแห่งอาจจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้สำหรับธุรกิจที่ไม่มีประวัติการค้างชำระในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง หรืออาจมีข้อกำหนดไม่อนุมัติสินเชื่อให้ธุรกิจบางประเภทที่มีความเสี่ยงสูง เป็นต้น

คุณลักษณะของธุรกิจ

คุณลักษณะของธุรกิจที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินจะนำมาพิจารณาจะแบ่งออกมาเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ โดยใช้หลัก 5 Cs ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

หลัก 5 Cs ที่ทางธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจะมีตั้งแต่ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงและความสามารถในการชำระหนี้ สินทรัพย์ ทรัพย์สิน เงินลงทุนของธุรกิจ หลักประกัน ผู้ค้ำประกัน และยังพิจารณาไปจนถึงปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจด้วย

Character หมายถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการพิจารณาคุณลักษณะเบื้องต้น ตัวอย่างเช่น ประวัติของเจ้าของธุรกิจ ประเภทของธุรกิจ ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น

Capacity หมายถึงความมั่นคงและความสามารถในการชำระหนี้คืนตามกำหนดเวลา ซึ่งทางธนาคารจะประเมินจากประวัติทางการเงินต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น รายรับ-รายจ่าย ภาระหนี้สินเดิม หรือประวัติการชำระหนี้ในอดีต เป็นต้น

Capital หมายถึงทรัพย์สิน สินทรัพย์ เงินทุน หรือกระแสเงินสดของธุรกิจ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะเป็นหนึ่งในหลักประกันที่ทางธนาคารใช้พิจารณาว่าธุรกิจของคุณมีความสามารถในการชำระหนี้ได้มากแค่ไหน หรือในเวลาที่เกิดปัญหาแล้วธุรกิจของคุณจะยังมีเงินทุนสำรองมาใช้ชำระหนี้ได้หรือไม่

Collateral หมายถึงหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน เป็นปัจจัยที่ทำให้ทางธนาคารมีความมั่นใจมากขึ้นว่าธุรกิจของคุณจะชำระหนี้ได้ตามที่กำหนดเอาไว้ ในกรณีที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทางธนาคารจะมีสิทธิ์นำหลักประกันไปขายทอดตลาดตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ หรือสามารถเรียกเก็บจากผู้ค้ำประกันแทนได้

Conditions หมายถึงปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น สภาพเศรษฐกิจ สถานการณ์ปัจจุบันของตลาด คู่แข่ง หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้รายได้ของธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทางธนาคารจะนำข้อมูลส่วนนี้มาใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้สินเชื่อในอนาคต

ทางธนาคารสามารถนำข้อมูลจากแผนธุรกิจมาใช้ในการพิจารณาตามหลัก 5 Cs ได้ทันที ถ้าแผนของคุณมีความรัดกุมมากเพียงพอและมองเห็นโอกาสในการทำกำไรที่ดี มีความมั่นคง ก็มีโอกาสที่สินเชื่อจะผ่านอนุมัติได้เช่นกัน

วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ

วัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อก็เป็นอีกปัจจัยที่ทางธนาคารหรือสถาบันการเงินจะนำมาร่วมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยจะดูจากจำนวนเงิน ระยะเวลาในการชำระหนี้ ประกอบกับการประเมินแนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตอีกครั้งก่อนตัดสินใจว่าควรอนุมัติสินเชื่อนี้ให้กับธุรกิจของคุณหรือไม่

เอกสารที่ต้องใช้ในการขอสินเชื่อธุรกิจ

การเตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมเพื่อการขอสินเชื่อจะช่วยให้ผ่านอนุมัติง่ายและไวขึ้น และในบางกรณีถ้าขาดเอกสารสำคัญก็อาจทำให้สินเชื่อไม่ผ่านการอนุมัติได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงขอแนะนำเอกสารเบื้องต้นที่จำเป็นต้องใช้ในการยื่นขอสินเชื่อ ได้แก่

เอกสารที่ต้องใช้ในการขอสินเชื่อธุรกิจโดยทั่วไปจะแบ่งออกมาเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือเอกสารเบื้องต้นที่ผู้ยื่นขอสินเชื่อทุกคนจะต้องเตรียมมา เอกสารแสดงรายได้ของธุรกิจ และเอกสารแสดงหลักประกัน ซึ่งแผนธุรกิจจะถูกนำมาใช้ให้เจ้าหน้าที่ธนาคารได้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และยังถูกใช้เพื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจนั้นด้วย

เอกสารสำหรับผู้ขอสินเชื่อทุกประเภท

เอกสารสำหรับผู้ขอสินเชื่อทุกประเภทจะเป็นเอกสารเบื้องต้นที่ทุกคนต้องใช้ในการขอสินเชื่อทุกประเภท ซึ่งจะเป็นข้อมูลทั่วไป ตัวอย่างเช่น

– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรข้าราชการ

– สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสำหรับผู้ที่มีอาชีพเฉพาะทาง เช่น สถาปนิก ทนายความ แพทย์ เป็นต้น

– สำเนาทะเบียนสมรส ใบหย่า หรือใบมรณะบัตรของคู่สมรส

– ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุลทั้งหมด

– สำเนาทะเบียนบ้าน

เอกสารแสดงรายได้สำหรับเจ้าของธุรกิจ

เอกสารแสดงรายได้สำหรับเจ้าของธุรกิจจะรวมทั้งของตัวเจ้าของธุรกิจและหุ้นส่วนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้กู้ร่วมหรือผู้ค้ำประกัน ซึ่งจะมีเอกสารสำคัญ ตัวอย่างเช่น

– สำเนาเอกสารจดทะเบียนบริษัท ทะเบียนพาณิชย์ หรือทะเบียนการค้า

– สำเนาทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ย้อนหลังไม่เกิน 3 เดือนนับจากวันที่ยื่นขอสินเชื่อ

– สำเนาบัญชีธนาคารที่แสดงกระแสการเงินของบริษัท ตัวอย่างเช่น บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน หรือบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือนนับจากวันที่ยื่นขอสินเชื่อ

– งบการเงินปีล่าสุด หรือสำเนารายการแสดงภาษีเงินได้ประจำปี

เอกสารแสดงหลักประกัน

เอกสารแสดงหลักประกันจะเป็นเอกสารประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นในการขอสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น

– สำเนาโฉนดที่ดิน

– สำเนาเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย

– เอกสารหลักฐานการชำระเงินดาวน์

– แผนที่แสดงที่ตั้งของหลักประกัน

– สำเนาใบอนุญาตก่อสร้างอาคารหรือปรับปรุงอาคาร

– แบบแปลนการก่อสร้าง

– สำเนาสัญญาว่าจ้างผู้รับเหมา

เอกสารที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้เป็นเพียงเอกสารทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งในการยื่นขอสินเชื่อจริงก็อาจจะต้องมีเอกสารอื่น ๆ ตามความจำเป็น ซึ่งคุณสามารถสอบถามจากเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้อย่างละเอียดอีกครั้งได้

บทสรุป : ตัวอย่างการวางแผนธุรกิจ สำหรับยื่นขอสินเชื่อจากธนาคาร

เอกสารสำหรับการยื่นขอสินเชื่อจากธนาคารนั้นมีอยู่หลายอย่าง ซึ่งตัวอย่างการวางแผนธุรกิจที่เราได้แนะนำไปก็เป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่จะช่วยให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ มองภาพรวมธุรกิจของคุณออกได้ง่าย ถ้าจัดทำแผนธุรกิจได้รัดกุมมากเพียงพอก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะผ่านการพิจารณาสินเชื่อได้เพราะธนาคารจะมองเห็นความสามารถในการทำกำไรและชดใช้หนี้สินของธุรกิจ และการจัดทำแผนธุรกิจที่รอบคอบมากเพียงพอก็ยังช่วยให้คุณมีข้อมูลไปปรับใช้วางแผนกลยุทธ์ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ทั้งโอกาสรับเงินทุนเพิ่มเติมและยังมีข้อมูลเชิงลึกที่นำมาใช้งานต่อได้เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *