การวางแผนการตลาดที่ดีนับว่าเป็นการต่อสู้ในแวดวงธุรกิจกันอย่างมีกลยุทธ ธุรกิจไหนที่วางแผนมาได้อย่างรอบคอบและรัดกุมก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า ส่วนธุรกิจไหนที่ดำเนินกิจการกันอย่างไม่มีแผนก็จะชิงส่วนแบ่งตลาดมาไม่ได้และต้องถอนตัวจากกิจการออกไป หากคุณต้องการอยู่ในตลาดและมีผลกำไรตามที่ต้องการ วิธีวางแผนการตลาดที่ดีคือสิ่งแรกที่คุณต้องเรียนรู้เลยทีเดียว
แผนการตลาดคืออะไร สำคัญอย่างไร
แผนการตลาด หรือ Marketing Plan คือแผนสำหรับการดำเนินธุรกิจที่จะบ่งบอกถึงภาพรวมในการทำการตลาดว่าจะต้องใช้กลยุทธ์แบบไหน มีเป้าหมายคืออะไร และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แผนการตลาดจะช่วยให้บุคลากรทุกคนได้รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เพื่ออะไร ถ้ามีแผนการตลาดที่ดีก็จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้
– What : ธุรกิจของคุณกำลังขายอะไร
– Who : สินค้าของคุณขายให้ใคร
– Where : หาลูกค้าได้ที่ไหน
– How : ขายสินค้าอย่างไร
และควรจะมีองค์ประกอบหลักในการทำแผนการตลาดทั้งหมดดังนี้
– เป้าหมายโดยรวมในการทำการตลาด
– สถานการณ์ของธุรกิจในปัจจุบัน
– กำหนดการของกลยุทธ์ที่ใช้
– ตัวชี้วัดผลลัพธ์หรือ KPI
– ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้า คู่แข่ง และตลาด
ขั้นตอนในการวางแผนการตลาด
การวางแผนการตลาดจะต้องทำเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อให้นำไปสร้างเป็นกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้กันต่อได้ ซึ่งแผนการตลาดที่ทำออกมาจะต้องสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจของคุณทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ในส่วนของขั้นตอนที่ควรทำเพื่อการวางแผนการตลาดที่ดีก็จะมีอยู่ 5 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นตอนวางแผนการตลาดจะแบ่งออกมาเป็นขั้นใหญ่ ๆ ทั้งหมด 5 ขั้นคือการจัดเตรียมทำแผน การตรวจสอบข้อมูล การกำหนดยุทธศาสตร์ทางการตลาด การจัดทำแผน และการนำแผนไปใช้งานซึ่งอาจมีการปรับปรุงแผนบ้างอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
1. การเตรียมจัดทำแผน
การเตรียมจัดทำแผน หรือ Pre-Planning เป็นขั้นตอนที่ควรมีก่อนที่จะจัดทำแผนการตลาด โดยขั้นตอนนี้จะแบ่งออกมาเป็น 2 ส่วน ได้แก่
– การวางแผน ซึ่งจะต้องคำนึงถึงทรัพยากร บุคลากร หรือข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดทำแผนการตลาด โดยให้เริ่มจากการวางแผนงบประมาณที่ต้องใช้และกำหนดระยะเวลาของบุคลากรทั้งหมดก่อน
– การลงมือทำแผน สำหรับส่วนนี้จะเป็นการสอนวิธีและแบ่งหน้าที่ในการจัดทำแผนการตลาดให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
2. การตรวจสอบ
การตรวจสอบ หรือ Undertake Marketing Audit จะเป็นขั้นตอนของการหาข้อมูลที่จำเป็นในการวางแผนการตลาด ซึ่งจะแบ่งออกมาได้เป็นการตรวจสอบภายในและการตรวจสอบภายนอก
– การตรวจสอบภายในธุรกิจ หรือ Internal Business Audit จะเป็นการตรวจสอบทรัพยากรทั้งหมดภายในธุรกิจว่ามีอะไร เท่าไหร่ เพื่อนำมาใช้วางแผนกลยุทธ์ รวมถึงใช้ในการประเมินศักยภาพของธุรกิจด้วยว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ต่อสู้ในตลาดนี้ได้
– การตรวจสอบตลาดภายนอก หรือ External Market Audit จะเป็นการตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ ของตลาดภายนอกว่ามีอุปสรรคหรือประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง
3. การกำหนดยุทธศาสตร์ทางการตลาด
การกำหนดยุทธศาสตร์ทางการตลาด หรือ Formulate Marketing Strategy จะต้องพิจารณาจากส่วนแบ่งตลาดที่ธุรกิจของคุณน่าจะได้เมื่อลงทุนไป แล้วคัดเลือกหากลุ่มเป้าหมายของตลาดย่อยที่น่าจะคุ้มค่ามากที่สุด จากนั้นก็กำหนดวิธีทำการตลาดที่เหมาะสม รวมถึงจะต้องกำหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์ (KPI) สำหรับวิธีการนั้นด้วย
4. การทำแผนการตลาดให้สำเร็จ
การทำแผนการตลาดให้สำเร็จ หรือ Complete the Marketing Plan จะเป็นขั้นตอนการลงรายละเอียดกลยุทธต่าง ๆ การจัดทำแผนปฏิบัติการ การกำหนดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะต้องทำอย่างละเอียดโดยผู้รับผิดชอบแผนการตลาดนั้น
5. การนำแผนไปใช้งานและปรับปรุง
การนำแผนไปใช้งานและปรับปรุง หรือ Implement & Review จะเป็นขั้นตอนการนำเสนอแผนต่อผู้ที่มีอำนาจอนุมัติใช้งาน จากนั้นก็เริ่มต้นใช้แผนในเวลาที่เหมาะสมหรือตามกำหนดการ เมื่อใช้งานแผนแล้วก็จะต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงแผนให้เหมาะสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วนักการตลาดมักจะเลือกปรับให้อยู่ภายใต้กรอบของแผนเดิมเพื่อให้กระทบกับทรัพยากรต่าง ๆ ที่ต้องใช้น้อยที่สุด
รวม 8 เทคนิค วิธีวางแผนการตลาดอย่างมีกลยุทธ
วิธีวางแผนการตลาดอย่างมีกลยุทธคือสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ เพราะแผนการตลาดที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณกลายเป็นที่รู้จักของลูกค้า มีโอกาสสร้างยอดขายที่ดี เพิ่มลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมี 8 เทคนิควิธีวางแผนการตลาดอย่างมีกลยุทธดังนี้
1. ทำความเข้าใจธุรกิจของตัวเอง
“ก่อนจะเริ่มลงทุนกับธุรกิจอะไร คุณจะต้องทำความเข้าใจธุรกิจนั้นให้ดีก่อน”
ในการทำความเข้าใจธุรกิจของตัวเอง เครื่องมือที่นำมาใช้ได้ดีก็คือการวิเคราะห์ด้วยทฤษฎี SWOT Analysis ที่ประกอบไปด้วย Strengths, Weakness, Opportunities และ Threats ซึ่งจะแบ่งออกมาใช้ใน 2 parts คือการทำความเข้าใจตัวเอง และการทำความเข้าใจตลาด
SWOT Analysis จะแบ่งออกมาเป็น 4 องค์ประกอบหลักคือ S Strengths คือจุดแข็ง W Weakness คือจุดอ่อน O Opportunities คือโอกาส และ T Threats คืออุปสรรค ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจของคุณและตลาดที่ต้องการลงทุน
– การทำความเข้าใจตัวเอง คุณจะต้องค้นหาจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weakness) ของธุรกิจคุณว่ามีอะไรบ้าง ตอนนี้ธุรกิจของคุณอยู่ในจุดไหน เพื่อนำมาหาวิธีเสริมจุดแข็งและพัฒนาจุดอ่อนให้ดีขึ้นจนต่อสู้กับธุรกิจอื่นในตลาดเดียวกันได้
– การทำความเข้าใจตลาด จะเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกโดยดูจากโอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) ว่าธุรกิจของเราเป็นที่ต้องการในตลาดมากแค่ไหน ดำเนินธุรกิจแล้วน่าจะมีปัญหาอะไรบ้าง และควรนำข้อมูลคู่แข่งมาวิเคราะห์เพื่อสร้างความแตกต่างให้เป็นจุดขายในธุรกิจของคุณด้วย
2. สำรวจและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
การสำรวจและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทำแบบสำรวจ การทำ Social Media Analytics หรือจะเป็นการนำกลุ่มเป้าหมายเดียวกับคู่แข่งมาวิเคราะห์ตรง ๆ เลยก็ได้ หลังจากได้กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจมาแล้วค่อยนำมาทำ Customer Persona กันอีกครั้ง
“Customer Persona เป็นการจำลองภาพตัวแทนลูกค้าในอุดมคติ”
Customer Persona หรือ Buyer Persona คือการสร้างตัวแทนที่มีลักษณะบุคลิกและพฤติกรรมแบบเดียวกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเพื่อนำมาวิเคราะห์สร้างกลยุทธ์การตลาด ข้อมูลหลักที่จำเป็นในการทำ Customer Persona ได้แก่
– ข้อมูลพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ที่อยู่ อายุ เพศ เป็นต้น
– ข้อมูลเป้าหมาย ปัญหา และความสนใจของลูกค้า
– พฤติกรรมและช่องทางการเข้าถึงสินค้า
– ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าสนใจหรือไม่สนใจสินค้า
Customer Persona หรือ Buyer Persona คือการสร้างลูกค้าในอุดมคติขึ้นมาว่ากลุ่มเป้าหมายในธุรกิจของคุณควรเป็นแบบไหน ซึ่งจะต้องกำหนดรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อนำมาใช้เป็นตัวอย่างในการสร้างกลยุทธ์การตลาด
นอกจากนี้ก็อาจจะใช้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการวิเคราะห์ในเชิงไหนหรือละเอียดมากแค่ไหน ถ้ามีการทำ Customer Persona มาแล้วก็จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงความต้องการและนำเสนอสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
3. กำหนดเป้าหมายธุรกิจที่ชัดเจน
ถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ธุรกิจของคุณก็จะไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหน ต้องเดินกันอีกไกลแค่ไหน ดังนั้นการมีเป้าหมายเอาไว้จึงช่วยให้คุณกำหนดแผนการขึ้นมาได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง โดยสามารถนำเทคนิค SMART มาใช้ในการกำหนดเป้าหมายให้ธุรกิจของคุณได้
เทคนิค SMART มักถูกนำมาใช้เพื่อเป็นปัจจัยที่ธุรกิจของคุณควรมีคือ S Specific คือความเฉพาะเจาะจงของธุรกิจ M Measurable คือการวัดผลลัพธ์เป้าหมายได้ A Attainable คือการทำให้เป้าหมายสำเร็จได้จริง R Realistic คือความสมเหตุสมผลของเป้าหมาย T Timely คือระยะเวลาที่ควรทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ
SMART คือเทคนิคที่นักการตลาดมักจะใช้สำหรับการตั้งเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะแบ่งออกมาเป็น 5 คุณสมบัติที่ธุรกิจควรมีดังนี้
– S : Specific หรือความเฉพาะเจาะจง เพื่อเป็นจุดดึงดูดลูกค้า
– M : Measurable หรือการวัดผลลัพธ์ได้ คือการกำหนดตัวเลขมาว่าต้องทำอะไรเป็นจำนวนเท่าไหร่
– A : Attainable หรือการทำให้สำเร็จได้ คือการคิดคำนวณจากศักยภาพธุรกิจของคุณแล้วว่าสามารถบรรลุผลได้
– R : Realistic หรือความสมเหตุสมผล หมายถึงเป้าหมายนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่เพ้อฝันมากเกินไป
– T : Timely หรือระยะเวลา เพื่อเป็นกรอบว่าจะต้องสำเร็จเป้าหมายเมื่อไหร่จึงจะคุ้มค่าที่สุดหรือเหมาะสมที่สุด หรืออาจจะตั้งเป็นเวลาในการวัดผลลัพธ์เพื่อปรับปรุงกลยุทธก็ได้
4. รู้จักกลไกลการซื้อขาย
การทำความเข้าใจกลไกลการซื้อขายก็อาจนำ Sales Funnel และ Customer Journey มาใช้เพื่อให้เห็นภาพก็ได้ ถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็จะคล้ายกับกรวยที่ทำหน้าที่คัดกรองคนที่น่าจะมาเป็นลูกค้าออกเป็นชั้น ๆ จากรูป Sales Funnel คือตัวคัดกรองที่อยู่ทางด้านขวา ส่วน Customer Journey จะเป็นการพฤติกรรมของลูกค้าที่อยู่ในทรงกรวย
– Top of the funnel คือช่วงที่ผู้คนจะเริ่มรู้จักสินค้าของคุณ แต่ยังไม่สนใจ
– Middle of the funnel คือช่วงที่ผู้คนจะเริ่มสนใจหรืออยากใช้สินค้าของคุณ ในช่วงนี้จะมีการโน้มน้าวใจเพื่อหวังสร้างลูกค้า
– Bottom of the funnel คือช่วงที่ผู้คนตัดสินใจลงมือใช้หรือซื้อสินค้าของคุณ
หรืออาจจะทำความเข้าใจ Sales Funnel และ Customer Journey เพิ่มเติมจาก คลิปวีดีโอนี้ ก็ได้
Sales Funnel และ Customer Journey คือภาพรวมในการซื้อขายสินค้าว่าในช่วงไหนผู้คนจะตอบสนองกับสินค้าหรือบริการของคุณแบบไหน ในช่วง Top of the funnel ผู้คนจะแค่รับรู้ว่ามีธุรกิจของคุณแต่ยังไม่สนใจ ในช่วง Middle of the funnel ผู้คนจะเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น และในช่วง Bottom of the funnel คือการตัดสินใจซื้อสินค้า
5. การสร้างกลยุทธ์การตลาดและ KPI
กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดซึ่งอาจจะชี้เป็นชี้ตายธุรกิจของคุณได้เลย หลักการทั่วไปของการตลาดคือจะต้องคิดว่าควรขายสินค้าหรือบริการอย่างไร โปรโมตด้วยวิธีไหน ควรตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ ใช้ช่องทางไหนในการซื้อหรือส่งสินค้า กลยุทธ์การตลาดในปัจจุบันก็มีอยู่หลายแบบ ตัวอย่างเช่น
– การตลาดแบบ Inbound Marketing
– การตลาดแบบ Outbound Marketing
– การจัดโปรโมชั่นลดราคาหรือแถมสินค้า
– การทำ Content Marketing
– การใช้ Influencer โปรโมตธุรกิจหรือสินค้า
– การตลาดแบบปากต่อปาก
– การทำ Upsell / Downsell
– การจับมือกับธุรกิจอื่น
การสร้างกลยุทธ์การตลาดคือการคิดว่าควรขายสินค้าอย่างไร โปรโมตสินค้าด้วยวิธีไหน ตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ และจะใช้วิธีไหนในการขายหรือจัดส่งสินค้า ซึ่งจะต้องมีตัววัดผลหรือ KPIs มาเป็นตัวชี้วันด้วยว่าทำสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่
นอกจากตัวอย่างที่พูดถึงไปก็ยังมีกลยุทธ์การตลาดในแบบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ปัจจุบันควรใช้กลยุทธ์แบบไหน แต่จะต้องวิเคราะห์ลูกค้าให้ออกว่ามีความต้องการที่แท้จริงแบบไหนเพื่อใช้กลยุทธ์ให้ตรงจุด และจะต้องมีตัววัดผลหรือ KPIs มาเป็นตัวชี้วัดด้วยว่าธุรกิจไปถึงเป้าหมายหรือยัง
KPIs คือมาตรชี้วัดที่กำหนดขึ้นมาเพื่อวัดผลลัพธ์ของกลยุทธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตัวอย่างเช่น
– ยอดขายของเดือนนี้ครบ 50,000 บาท
– มียอดวางบิลรวมกันในเดือนนี้ 100,000 บาท
– เผยแพร่บทความเดือนละ 10 บทความ
– หาลูกค้าใหม่ได้ 10 ราย
นอกจากตัวอย่างที่พูดถึงก็ยังกำหนด KPIs ด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายหรือการทำงานของบุคลากรเป็นหลัก เพราะบางครั้งกลยุทธ์ก็อาจจะไม่ได้เน้นแค่ยอดขาย แต่อาจจะเน้นด้านการพัฒนาฝีมือบุคลากรหรือเป้าหมายอื่นได้ด้วยเช่นกัน
6. กำหนดงบประมาณที่ต้องใช้
เมื่อมีแนวทางกลยุทธ์มาแล้วก็ต้องกำหนดงบประมาณที่ต้องใช้ควบคู่กันไปด้วย โดยทั่วไปแล้วงบประมาณจะกำหนดมาให้เหลือกำไรคุ้มค่าหรือเป็นแนวทางต่อยอดสร้างกำไรในอนาคตได้ และจะต้องไม่กำหนดงบประมาณสูงเกินไป การทำงบประมาณต้องมีความรอบคอบ เพื่อกันปัญหางบประมาณบานปลายในภายหลัง
การกำหนดงบประมาณต้องทำกันอย่างรอบคอบ ต้องไม่ใช้งบประมาณมากหรือน้อยเกินไปและต้องควบคุมดูแลการใช้งบประมาณกันอย่างต่อเนื่อง ต้องไม่ลืมเรื่องภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และควรทำแผนการใช้งบประมาณขึ้นมาด้วย
หลังจากที่กำหนดงบประมาณได้แล้วก็จะต้องทำการควบคุมอย่างต่อเนื่อง ทำบัญชีให้ชัดเจน และจะต้องไม่ลืมเรื่องของภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ต้องจ่าย การคำนวณงบประมาณอาจเริ่มต้นจากการคำนวณว่าควรใช้เงินเท่าไหร่ในการสร้างลูกค้าใหม่ 1 ราย หรือสินค้านี้หลังจากขายได้แล้วจะเหลือกำไรอยู่เท่าไหร่ ต้องจัดสรรงบประมาณการตลาดให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้ธุรกิจเสียสภาพคล่อง และควรทำแผนใช้งบประมาณขึ้นมาอย่างละเอียดเพื่อประกอบกับแผนกลยุทธด้วย
7. สร้างแผนการดำเนินงาน
การสร้างแผนการดำเนินงาน (Timeline & Calendar) คือการนำกลยุทธ์และปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการทำธุรกิจมาเรียบเรียงและเขียนเป็นแผนขึ้นมาเพื่อบอกบุคลากรหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง ภายในแผนจะต้องบอกว่าใครต้องทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และมีกำหนดเวลาเท่าไหร่ ซึ่งอาจทำออกมาเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีก็ได้
การสร้างแผนการดำเนินงานเป็นการบอกกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องว่าใครจะต้องทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร และมีกำหนดเวลาในการทำงานเท่าไหร่ ซึ่งจะกำหนดระยะเวลาเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีก็ได้
8. ปรับปรุงแผนและวางแผนสำรอง
เพราะการทำธุรกิจย่อมมาคู่กับอุปสรรค ดังนั้นแผนที่วางเอาไว้ก็อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่การปรับเปลี่ยนนั้นควรต้องอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายหรือกำหนดการเดิม ในกรณีที่เจอเหตุไม่คาดฝันจนทำให้กลยุทธ์ที่วางเอาไว้ไม่สามารถใช้งานได้จริง หรือวัดผลลัพธ์มาแล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ก็ควรมีแผนสำรองอย่างน้อย 2 แผนโดยให้คิดล่วงหน้ามาจากกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน
“เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จึงต้องมีแผนสำรองเอาไว้เสมอ”
ไม่มีแผนไหนไม่มีข้อผิดพลาด ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน และควรมีแผนสำรองล่วงหน้าเอาไว้อย่างน้อย 2-3 แผนเผื่อกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
สรุป : ขั้นตอนและวิธีการวางแผนการตลาด เพื่อการต่อสู้อย่างมีกลยุทธ
สรุปแล้วการวางแผนการตลาดจะเริ่มจากการทำความรู้จักตัวเอง ทำความรู้จักตลาด และหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาวิเคราะห์ สร้างกลยุทธ์ และทำแผนการดำเนินงานเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง โดยจะต้องมีกรอบเวลาและเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะต้องทำให้ได้ตามเป้าเมื่อไหร่ รวมถึงจะต้องมีวิธีวัดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณกำลังเดินไปถูกทาง
“แล้วจะวางแผนการตลาดไปเพื่ออะไร ?”
เพราะแผนการตลาดที่ดีจะทำให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของคุณ แม้จะยังไม่ซื้อสินค้าตอนนี้ก็ยังเพิ่มโอกาสที่จะมาซื้อในอนาคตได้ การตลาดที่ดีจะช่วยสร้างลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้าเก่า และยังทำให้เกิด Brand Loyalty ได้ ในทางกลับกันถ้าไม่มีแผนการตลาด หรือวางแผนการตลาดได้ไม่ดี ธุรกิจของคุณก็จะหลงทางและนำไปสู่ความล้มเหลวได้ในที่สุด