เชื่อว่าพอหลายคนได้ยินคำว่าการเริ่มต้นธุรกิจจาก 0 แล้วจะต้องรู้สึกว่ามันแย่ มันยาก เพราะคำว่า 0 มันหมายถึงไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว แต่นั่นก็เป็นแค่วิธีคิดของคนทั่วไป ถ้าคุณต้องการเป็นนักธุรกิจ ต้องการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ คุณจะต้องปรับแนวคิดให้ได้ก่อนว่า 0 นั้นหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ได้แบบไม่มีข้อจำกัดอะไรเลยเช่นกัน
การเริ่มธุรกิจจาก 0 มีข้อดีอย่างไร ?
อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ว่าตัวเลข 0 นั้นหมายถึงการไม่มีอะไรเลย หลายคนได้เห็นตัวเลขนี้แล้วจะรู้สึกกลัว รู้สึกไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ ใครก็อยากมีพื้นฐานอะไรสักอย่างมาก่อนทั้งนั้น แต่ 0 นี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าจะต้องลงทุนก่อนแล้วค่อยนับ 1 เพราะคุณสามารถเริ่มนับ 1 ได้ตั้งแต่ยังไม่ลงทุน
การเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์จึงมีข้อดีตรงที่คุณจะไม่ยึดติดอยู่กับกฎเกณฑ์เก่า ๆ ในอุตสาหกรรมนั้น เมื่อทุกอย่างเป็นศูนย์ คุณก็จะต้องเริ่มหาข้อมูล เริ่มหาเงินทุน ซึ่งขั้นตอนทุกอย่างจะเป็นอิสระ ไม่ถูกตีกรอบหรือปลูกฝังแนวคิดแบบเก่า ๆ เข้ามา อย่างที่จะเห็นว่าธุรกิจใหม่หลายอย่างที่ประสบความสำเร็จได้ก็จะเริ่มมาจากการคิดนอกกรอบกันทั้งนั้น
“การเริ่มต้นจากศูนย์จะไม่แย่ ถ้ารู้จักยินดีกับสิ่งที่ได้มา”
นอกจากนี้ถ้าลองมองในมุมกลับกันแล้วการเริ่มต้นจากศูนย์ยังสร้างกำลังใจให้กับนักธุรกิจมือใหม่ได้ดี เพราะนักธุรกิจที่มีประสบการณ์สูงมักตั้งเป้าหมายเป็น Big Goal หรือเป้าหมายใหญ่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จได้ยาก แต่สำหรับนักธุรกิจมือใหม่ที่เริ่มจาก 0 แค่ประสบความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ จนจาก 0 กลายเป็น 1 หรือ 2 ก็จะเพิ่มกำลังใจในการทำธุรกิจต่อไปให้ประสบความสำเร็จได้แล้ว
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจต้องรู้อะไรบ้าง
ในเมื่อธุรกิจของคุณจะต้องเริ่มต้นจาก 0 ดังนั้นจะต้องมีการศึกษาและเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนที่จะเริ่มต้นลงทุนกัน เพราะทันทีที่ลงทุนไปก็เท่ากับถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ดังนั้นการจะเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องมีการเรียนรู้ข้อมูลเหล่านี้มาให้รอบด้าน
ก่อนเริ่มต้นธุรกิจจะต้องรู้จักตัวเองว่าชอบหรือถนัดอะไร ต้องรู้จักตลาดว่ามีโอกาสที่จะเติบโตได้มากแค่ไหน ต้องรู้จักกลุ่มลูกค้าว่าชอบหรือไม่ชอบสินค้าแบบไหน ต้องรู้จักคู่แข่งว่ามีจุดแข็งหรือจุดอ่อนอะไร ต้องรู้จักวางแผลกลยุทธ์เพื่อเป็นแนวทางในการทำธุรกิจ และจะต้องรู้จักหาแหล่งเงินทุนมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
– ต้องรู้จักตัวเอง : คุณจะต้องคิดอย่างจริงจังว่าตัวเองชอบอะไร ทำอะไรได้ดี เพราะการเริ่มธุรกิจจากความชอบหรือสิ่งที่ถนัดจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการทำธุรกิจ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่ชอบก็จะทำให้มีความสุขในการทำงาน ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จก็มักจะเกิดมาจากความชอบหรือความถนัดเป็นพื้นฐานเช่นกัน
– ต้องรู้จักตลาด : เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำธุรกิจอะไรก็จะต้องลองสำรวจตลาดของธุรกิจนั้นดูด้วยว่าเป็นแบบไหน มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตในตลาดนี้ได้มากแค่ไหน คุ้มทุนไหม และควรมองถึงอนาคตด้วยว่าแนวโน้มของตลาดนี้จะเป็นอย่างไร
– ต้องรู้จักกลุ่มลูกค้า : เมื่อสำรวจตลาดแล้วก็จะต้องสำรวจกลุ่มลูกค้าภายในตลาดนั้นด้วยว่าต้องการสินค้าหรือบริการแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน ข้อมูลในส่วนนี้จะถูกนำมาใช้ในการวางแผนการตลาด ยิ่งได้ข้อมูลเชิงลึกหรือละเอียดแค่ไหนก็ยิ่งดีเท่านั้น
– ต้องรู้จักคู่แข่ง : เพราะเราไม่ใช่ธุรกิจเดียวในตลาดนี้แน่นอน ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาคู่แข่งให้ละเอียดด้วยว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร ข้อมูลในส่วนนี้ก็จะถูกนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ในการทำการตลาดด้วยเช่นกัน และยังทำให้รู้แนวโน้มของตลาดในอนาคตได้ด้วย
– ต้องรู้จักการวางแผนกลยุทธ์ : กลยุทธ์จะเป็นแนวทางที่คุณต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป ในการวางกลยุทธ์จะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ให้รอบด้าน และจะต้องประเมินสิ่งต่าง ๆ ตามจริงโดยไม่หลอกตัวเองเพื่อให้กลยุทธ์นั้นใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ต้องรู้จักแหล่งเงินทุน : ถ้าไม่มีทุนก็เริ่มธุรกิจกันไม่ได้ ดังนั้นคุณจะต้องหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับการเริ่มธุรกิจของคุณมาให้ได้ ถ้าเงินทุนของคุณเป็น 0 ก็อาจจะเริ่มด้วยการหากู้ยืมจากสถาบันการเงินหรือองค์กรทางการเงินที่น่าเชื่อถือก็ได้
รวม 8 ขั้นตอนการวางแผนธุรกิจ
หลังจากที่เตรียมตัวจะเริ่มธุรกิจกันไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็จะเป็นขั้นตอนการวางแผนธุรกิจที่สามารถทำให้ธุรกิจใหม่ของคุณก้าวไปหาความสำเร็จได้แม้จะเริ่มต้นมาจาก 0 ก็ตาม โดยจะมีทั้งหมด 8 ขั้นตอน ดังนี้
การตั้งเป้าหมายในการทำธุรกิจจะช่วยให้เห็นทิศทางในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน จะต้องทำแผนธุรกิจทั้งหมดขึ้นมาให้เห็นภาพรวมของธุรกิจให้ชัดที่สุด
1. ตั้งเป้าหมายในการทำธุรกิจ
การกำหนดเป้าหมายไม่ใช่แค่กำหนดทิศทางที่ชัดเจนของธุรกิจคุณเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแผนธุรกิจทั้งหมดที่จะทำให้เห็นภาพรวมว่าต้องมีการดำเนินงานแบบไหน มีแนวคิดอย่างไร รายละเอียดอย่างไร ต้องมีเงินทุนเท่าไหร่ ต้องการกำไรแค่ไหน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าต้องมีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของคุณเพื่อให้มองเห็นภาพก่อนจะไปถึงเป้าหมายชัดเจนที่สุด
การสำรวจตลาดจะต้องทำเพื่อหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และจะต้องตรวจสอบกลยุทธ์ของคู่แข่งด้วยว่ามีการเข้าถึงลูกค้าอย่างไร จูงใจลูกค้าอย่างไร จากนั้นก็หาแนวทางในการทำธุรกิจที่ไม่ซ้ำใครขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้า
2. สำรวจตลาด
แม้จะมีการสำรวจตาดไปแล้วในขั้นตอนการเตรียมตัว แต่การสำรวจตลาดในครั้งนี้จะต้องทำอย่างละเอียดขึ้น และจะเป็นการหาแนวทางว่าคู่แข่งของคุณใช้กลยุทธ์อะไรในการดึงดูดลูกค้า ความต้องการจริง ๆ ของลูกค้าคืออะไร และลองหาแนวทางใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้โดยไม่ซ้ำกับคู่แข่งของคุณ เพราะถ้าทำตามคนอื่นก็จะต้องตามหลังคนอื่นไปตลอด ถ้าอยากจะก้าวแซงคนอื่นก็ต้องคิดให้ฉีกไปจากแนวทางของคนอื่นให้ได้
การวางกลยุทธ์จะต้องนึกถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และจะต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกับคู่แข่ง ควรต้องมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ถ้าวางแผนกลยุทธ์ไม่ถูกก็อาจจะปรึกษานักธุรกิจหรือนักการตลาดที่มีประสบการณ์ก็ได้
3. วางกลยุทธ์
เมื่อมีเป้าหมายในการทำธุรกิจและสำรวจตลาดมาแล้ว ให้นำข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาวางกลยุทธ์การตลาดเพื่อหาแนวทางดำเนินธุรกิจให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากที่สุด และอย่าลืมว่าจะต้องพยายามคิดให้แตกต่างไปจากคู่แข่งของคุณ กลยุทธ์ที่ดีควรเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าธุรกิจของเราดีที่สุด
การวางกลยุทธ์หรือวางแผนธุรกิจนั้นอาจไม่ประสบความสำเร็จด้วยแผนเดียวเสมอไป ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงแผนอยู่เสมอเมื่อเห็นว่าแผนเดิมไม่ได้ผลหรือมีข้อมูลสำคัญใหม่ ๆ เข้ามา และอย่าลืมสร้างแผนสำรองเผื่อเอาไว้ในกรณีที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดด้วย
แต่ถ้าประสบการณ์ในการวางแผนหรือสร้างกลยุทธ์ของคุณเป็น 0 จะไปหาอ่านข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาก็ไม่มีอะไรใหม่ ๆ ก็อาจจะปรึกษาจากนักธุรกิจหรือนักการตลาดที่มีประสบการณ์ก็ได้ การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่นก็อาจจะทำให้คุณมองเห็นช่องทางใหม่ ๆ เพราะยังไงหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียว
การคัดเลือกทีมงานจะต้องเลือกคนที่มีทักษะที่ดี มีประโยชน์ต่อธุรกิจ หรือเป็นทักษะที่ตัวคุณเองไม่มี ถ้าไม่สามารถจ้างบุคลากรที่ดีที่สุดได้ก็อาจจะจ้างคนที่มีทักษะรองลงมาแล้วฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพของบุคลากรเองก็ได้
4. คัดเลือกทีมงาน
ในแต่ละธุรกิจย่อมต้องมีทีมงานหรือพนักงาน เพราะคุณไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ การคัดเลือกทีมงานควรเลือกคนที่มีทักษะที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ หรือเป็นทักษะที่ตัวคุณเองไม่มี ถ้าทีมงานดีก็จะช่วยให้ธุรกิจสำเร็จได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามีทุนน้อยจนไม่สามารถจ้างคนที่เก่งที่สุดได้ก็อาจจะคัดเลือกคนที่พอมีแววว่าจะเก่งแล้วฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพสูงเองก็ได้เช่นกัน
การวิเคราะห์คู่แข่งจะต้องวิเคราะห์ทั้งคู่แข่งทางตรงและคู่แข่งทางอ้อม สำหรับคู่แข่งทางตรงจะต้องวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าหรือบริการของคุณเอง ส่วนคู่แข่งทางอ้อมควรวิเคราะห์เรื่องการตลาดแล้วนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ของคุณ
5. วิเคราะห์คู่แข่ง
“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”
เป็นคำพูดที่ซุนวูเคยกล่าวไว้ ซึ่งหมายความว่าจะต้องรู้จักตัวเองและคู่แข่งให้ดีก่อนจึงจะเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นคุณจะต้องศึกษาคู่แข่งอย่างละเอียดในรอบด้านทั้งสินค้า บริการ บริการเสริม กลยุทธ์ในการขาย เป้าหมายธุรกิจ เพื่อให้นำมาเปรียบเทียบและวางกลยุทธ์ใหม่ให้เหนือกว่า คู่แข่งที่ว่านี้ก็จะมีทั้งคู่แข่งทางตรงและคู่แข่งทางอ้อม
– คู่แข่งทางตรง คือธุรกิจที่มีสินค้าหรือบริการแบบเดียวกับคุณ คุณสามารถนำจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งทางตรงมาวิเคราะห์แล้วสร้างกลยุทธ์เพื่อต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดกันได้ตรง ๆ ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองให้เหนือกว่าได้ด้วย
– คู่แข่งทางอ้อม คือธุรกิจที่มีสินค้าหรือบริการคนละแบบกับคุณแต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายข้าวกล่อง คู่แข่งทางอ้อมก็อาจจะเป็นแฮมเบอเกอร์ ซึ่งการวิเคราะห์คู่แข่งทางอ้อมนี้ควรดูในเชิงการตลาดว่าพวกเขาเจาะกลุ่มลูกค้าอย่างไร มีบริการเสริมอย่างไร ใช้เทคโนโลยีแบบไหน ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาดมากขึ้นได้ด้วย
การจัดการความเสี่ยงจะต้องทำให้รอบคอบ ต้องรู้จักกระจายความเสี่ยงให้ดี หาแผนสำรองหลาย ๆ แผนเผื่อเอาไว้ และจะต้องปรับปรุงแผนที่ใช้อยู่ให้เหมาะสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ
6. จัดการความเสี่ยง
ทุกธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง ยิ่งเป็นธุรกิจใหม่ยิ่งมีความเสี่ยงสูง ยิ่งเริ่มต้นมาจาก 0 ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก ดังนั้นคุณจะต้องรู้จักกระจายความเสี่ยงให้ดี ต้องมีแผนสำรองคิดเผื่อเอาไว้หลาย ๆ แบบเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงตอนไหนก็ได้ และเมื่อใช้แผนไหนไปแล้วก็ต้องมีการปรับปรุงแผนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเหมาะสมเพื่อให้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณน้อยที่สุด
การจัดการการเงินจะต้องเริ่มจากการใช้จ่ายแค่ในส่วนที่จำเป็น จ้างแค่คนที่สมควรจ้าง ต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายต่าง ๆ ให้ละเอียด และจะต้องไม่ลืมเรื่องการจัดการภาษีด้วย
7. จัดการการเงิน
เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจไหนประสบความสำเร็จหรือล่มจมก็ได้ ยิ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่มีเงินทุนน้อยก็ยิ่งต้องจัดการการเงินให้มีประสิทธิภาพ ใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น จ้างแค่คนที่ควรจ้าง ต้องทำบัญชีให้ละเอียด ทำตามแผนการเงินอย่างรอบคอบ และอย่าลืมเรื่องภาษี ถ้าสามารถจัดการการเงินได้ดี ธุรกิจของคุณจะมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัญหารอบด้านและผ่านมันไปได้ด้วยดี แน่นอนว่าจะทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้ง่ายและไวขึ้นด้วย
การขยายธุรกิจอาจทำได้ทั้งการขยายขนาดกิจการ การขยับไปทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องควบคู่กัน การคิดค้นสินค้าใหม่ ๆ การเปิดสาขาเพิ่ม หรือวิธีอื่น ๆ ที่จะเป็นการเพิ่มรายได้ แต่จะต้องดูจังหวะในการขยายกิจการอย่างเหมาะสม
8. ขยายธุรกิจ
เมื่อดำเนินธุรกิจมาได้สักระยะและทุกอย่างคงที่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการขยายธุรกิจเมื่อมีจังหวะเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการขยายขนาดของกิจการ การแตกแขนงไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การคิดค้นสินค้าใหม่ ๆ การเปิดสาขาใหม่ หรืออื่น ๆ ที่สามารถทำได้เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น
การขยายธุรกิจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงในการขาดทุน และถ้าธุรกิจของคุณเติบโตได้มากเพียงพอก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการได้ด้วย แต่ก็จะต้องขยายธุรกิจอย่างรัดกุมโดยเริ่มจากการเตรียมพร้อมที่จะทำธุรกิจอย่างที่ได้แนะนำไปอีกครั้งเพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด
สรุป
“หลังจากเริ่มต้นธุรกิจแล้วต้องอดทนจนสำเร็จ”
กล่าวโดยสรุปก็คือการจะเริ่มธุรกิจอะไรขึ้นมาจาก 0 นั้นคุณจะต้องหาข้อมูลและทำความรู้จักกับปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณก่อน จากนั้นก็นำข้อมูลทั้งหมดมาวางแผนให้รัดกุม ต้องประเมินตัวเองให้ถูกว่าอยู่ในระดับไหนของตลาด และจะต้องคอยปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอยู่เสมอ รวมถึงต้องมีแผนสำรองเอาไว้เผื่อกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันด้วยเช่นกัน
“ความอดทนอาจไม่ทำให้ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ทุกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จล้วนมีความอดทน”
หลังจากที่ทำตามขั้นตอนวางแผนธุรกิจทุกอย่างมาแล้วก็จะต้องมีความอดทน ไม่ทิ้งธุรกิจของคุณไปง่าย ๆ เพราะธุรกิจใหม่ที่เริ่มจาก 0 ย่อมมีความเสี่ยงและความท้าทายสูง ยิ่งเริ่มต้นมาน้อยยิ่งต้องอดทนให้เยอะเพื่อทดแทนกัน ต้องคอยหาความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อพัฒนาธุรกิจ และจะต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไวอย่างเช่นทุกวันนี้